You are currently viewing ทานมากเกินไปก็ไม่ดี การกินแคลเซียมเสริมกระดูก

ทานมากเกินไปก็ไม่ดี การกินแคลเซียมเสริมกระดูก

  • Post author:
  • Post category:Blogging

เทรนด์การรักษาสุขภาพกำลังมาแรงในช่วงนี้ หลายคนหันมารักสุขภาพแะดูแลสุขภาพกันมากขึ้น การที่รักษาสุขภาพนั้น ก็เพื่อตอบโจทยการใช้ชีวิตทุกวันนี้ด้วย จากการที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมีแต่มลพิษ จึงทำให้เราต้องดูแลตัวเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ การออกกำลังการอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายคนเลือกที่จะรับประทานอาหารเสริมร่วมด้วย หนึ่งในอาหารเสริมที่นิยมทานกันน้่นก็คือ แคลเซียมนั่นเอง โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นแล้ว ก็มักจะนิยมทานกัน แต่แคลเซียมนั้น ทานมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะอะไรนั้นเรามาดูกัน

ทานมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะอะไร

จากที่เราบอกไปข้างต้นว่าผู้ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นนั่นนิยมที่จะเลือกทานแคลเซียมเป็นอาหารเสริมกัน นั่นก็เพราะเชื่อว่าคุณสมบัติของแคลเซียมสามารถที่จะช่วยบำรุงกระดูกได้ คนที่มีอายุมากขึ้นนั้น การสะสมแคลเซียมในกระดูกจะลดลง ทำให้หลายคนเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนที่จะทำให้ประดูกเปราะมากกว่าปกติ  แต่การทานแคลเซียมมากเกินไปนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี อะไรที่มากเกินไปก็ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว การทานแคลเซียมมากเกินไปอาจส่งผลทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ และยังมีผลต่อโรคหัวใจ รวมถึงคความเสี่ยงของโรคทางสมองบางชนิดได้ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าการกินมากเกินไปนั้นไม่ใช่เรื่องดี คุณควรรับประทานให้อยู่ในปริมาณที่พอดีที่ร่างกายต้องการด้วย จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการกินเพื่อเป็นการบำรุงสุขภาพที่แท้จริง 

ควรกินมากแค่ไหน

ปกติร่างการของเรานั้นจะต้องการแคลเซียมไม่เกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน  โอยจะดูดซึมเพื่อนำไปใช้งานในสาวนต่างๆของร่างกายและสะสมไว้ที่กระดูก ถึงอย่างไรนั้นการที่เรานั้นทานแคลเซียมที่มากเกินไปมันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาว อาทิเช่น โรคกระดูกพรุน ไขข้อกระดูกอักแสบ เป็นต้น ถ้าเราทานแคลเซียมในปริมาณพอเหมาะพอดี และหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายและกระดูกที่แข็งแรงของเราได้เป็นอย่างดี แคลเซียมนั้นมีมากมายหลายแบบเราเองก็ต้องควรดูด้วยว่า ตัวไหนเหมาะสมกับเราหรือเปล่าเพราะบางทีซื้อมาแล้วทานไม่ได้เพราะแคลเซียมนั้นมีผลกับเราโดยตรงเลยก็ว่าได้ ทีนี้เราควรเลือกหาแคลเซียมที่เหมาะสมกับตัวเรา แล้วอย่าลืมหมั่นออกกำลังกายด้วยเพื่อทำให้แคลเซียมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง